การซื้อ Call Option (Long Call) เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวขึ้น ผู้ซื้อจะจ่ายค่า Premium เพื่อได้สิทธิในการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด หากราคาสินทรัพย์ปรับขึ้น ผู้ถือ Long Call จะได้กำไรเพิ่มขึ้นตามราคาที่ปรับขึ้น (กำไรไม่จำกัด) ขณะที่หากราคาลงต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ความเสียหายจะจำกัดอยู่เพียงค่า Premium ที่จ่ายไปเท่านั้น:contentReference[oaicite:0]{index=0} กลยุทธ์นี้เหมาะกับสภาวะตลาดขาขึ้นที่คาดว่าจะมีการปรับตัวขึ้นแรง (Bullish Market):contentReference[oaicite:1]{index=1}
การซื้อ Put Option (Long Put) เป็นกลยุทธ์สำหรับเก็งกำไรในสภาวะคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลง ผู้ซื้อ Long Put ได้สิทธิในการขายสินทรัพย์ที่ราคาใช้สิทธิ หากราคาสินทรัพย์ปรับลดลงมาก ผู้ถือ Long Put จะได้กำไรเพิ่มขึ้นตามการปรับลงของราคา (กำไรสูงสุดไม่จำกัดทางทฤษฎี) ส่วนความเสี่ยงขาดทุนจะจำกัดที่ค่า Premium ที่จ่ายซื้อสัญญาเท่านั้น:contentReference[oaicite:2]{index=2} กลยุทธ์นี้เหมาะกับสภาวะตลาดขาลง (Bearish Market):contentReference[oaicite:3]{index=3}
กลยุทธ์ Covered Call คือการถือครองสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น หุ้น) ควบคู่ไปกับการขาย Call Option ของสินทรัพย์เดียวกัน ณ ราคาใช้สิทธิที่กำหนด เพื่อสร้างรายได้จากค่า Premium ที่ได้รับทันที:contentReference[oaicite:4]{index=4} ผู้ขายจะได้รับค่า Premium เป็นรายได้สม่ำเสมอ และช่วยลดความเสี่ยงขาลงของพอร์ตหุ้นบางส่วน (ค่า Premium ที่ได้รับมาชดเชยการขาดทุนหุ้นได้บางส่วน):contentReference[oaicite:5]{index=5} อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้มีข้อจำกัดคือหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นสูงเกินราคาใช้สิทธิที่ขายไว้ ผู้ขายจะต้องส่งมอบหุ้นที่ถืออยู่ในราคาที่กำหนด ทำให้กำไรถูกจำกัดและเสียโอกาสรับกำไรส่วนเกินเหนือราคาใช้สิทธิที่ขายไป:contentReference[oaicite:6]{index=6}
กลยุทธ์ Protective Put (หรือ Married Put) คือการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงพร้อมกับซื้อ Put Option ของสินทรัพย์นั้นไว้เป็นประกันความเสี่ยง กลยุทธ์นี้ช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลงของพอร์ตการลงทุน: หากราคาสินทรัพย์ลดลงมาก ผู้ถือ Put จะได้กำไรจาก Put Option มาชดเชยการขาดทุนของสินทรัพย์ ทำให้ขาดทุนจำกัด (เท่าค่า Premium ที่จ่ายซื้อ Put):contentReference[oaicite:7]{index=7} ในขณะที่หากราคาสินทรัพย์ปรับขึ้น ผู้ลงทุนก็ยังได้รับกำไรจากการถือสินทรัพย์นั้น โดยที่ความเสี่ยงด้านขาลงได้รับการคุ้มครองไว้แล้วส่วนหนึ่ง:contentReference[oaicite:8]{index=8} กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่ยังต้องการถือครองสินทรัพย์แต่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง
กลยุทธ์ Bull Call Spread เป็นการผสมสถานะ Long Call และ Short Call เข้าด้วยกัน ผู้ลงทุนจะซื้อ Call Option ที่ราคาใช้สิทธิต่ำ และขาย Call Option ที่ราคาใช้สิทธิสูง ในสินทรัพย์อ้างอิงเดียวกันที่หมดอายุในงวดเดียวกัน:contentReference[oaicite:9]{index=9} กลยุทธ์นี้ใช้เมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์จะปรับขึ้นเล็กน้อย (ไม่รุนแรงมาก) โดยกำหนดขอบเขตการกำไรขาดทุนไว้แน่นอนตั้งแต่ต้น (ทั้งความเสี่ยงและผลตอบแทนจำกัดอยู่ในวงที่กำหนด):contentReference[oaicite:10]{index=10}
กลยุทธ์ Bear Put Spread เป็นสถานะผสมระหว่าง Short Put และ Long Put ผู้ลงทุนจะขาย Put Option ที่ราคาใช้สิทธิต่ำ และซื้อ Put Option ที่ราคาใช้สิทธิสูง ในสินทรัพย์อ้างอิงเดียวกันที่หมดอายุพร้อมกัน:contentReference[oaicite:11]{index=11} เหมาะกับมุมมองว่าราคาสินทรัพย์จะปรับลงเล็กน้อย เพราะกลยุทธ์นี้จำกัดทั้งขาดทุนสูงสุดและกำไรสูงสุดไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน (ความเสี่ยงและผลตอบแทนจำกัด):contentReference[oaicite:12]{index=12} โดยข้อดีคือใช้ต้นทุนซื้อประกันต่ำกว่าการ Long Put อย่างเดียว
กลยุทธ์ Butterfly Spread เป็นกลยุทธ์ใช้ออปชันสามชุดที่มีราคาใช้สิทธิแตกต่างกัน เพื่อเก็งว่าราคาสินทรัพย์จะทรงตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ใกล้จุดหนึ่ง (ตลาด sideway):contentReference[oaicite:13]{index=13} ตัวอย่างเช่น Long Call Butterfly: ผู้ลงทุนซื้อ Call 1 สัญญาที่ราคาใช้สิทธิต่ำ, ขาย Call 2 สัญญาที่ราคาใช้สิทธิกึ่งกลาง, และซื้อ Call 1 สัญญาที่ราคาใช้สิทธิสูง (ครบกำหนดพร้อมกัน):contentReference[oaicite:14]{index=14} กลยุทธ์นี้จะให้กำไรสูงสุดเมื่อราคาสินทรัพย์อยู่ใกล้กับราคาใช้สิทธิตรงกลาง ณ วันหมดอายุ และมีความเสี่ยงขาดทุนจำกัดในกรณีที่ราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวมากเกินคาด (กำไรและขาดทุนจำกัดทั้งสองด้าน):contentReference[oaicite:15]{index=15}
:contentReference[oaicite:16]{index=16} *ภาพแสดงกราฟผลกำไร/ขาดทุนของกลยุทธ์ Long Straddle (ซ้าย) และ Long Strangle (ขวา)* กลยุทธ์ Long Straddle คือการซื้อ Call Option และ Put Option พร้อมกันจำนวนอย่างละ 1 สัญญา ที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และวันหมดอายุเดียวกัน (มักเลือกที่ At-The-Money หรือใกล้เคียง):contentReference[oaicite:17]{index=17} ผู้ลงทุนใช้กลยุทธ์นี้เมื่อคาดว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่มั่นใจในทิศทางว่าจะขึ้นหรือลง (เช่น ช่วงก่อนประกาศข่าวสำคัญ ผลประกอบการ การเลือกตั้ง ฯลฯ ที่คาดว่าจะเพิ่มความผันผวนของตลาด):contentReference[oaicite:18]{index=18}:contentReference[oaicite:19]{index=19}
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: เหมาะใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะ “ผันผวนสูง” (ราคาเคลื่อนไหวแรง) โดยไม่สามารถคาดทิศทางได้ชัดเจน กรณีตลาดมีข่าวหรือเหตุการณ์ที่จะทำให้ราคาเหวี่ยงขึ้นหรือลงมากๆ เช่น ก่อนประกาศงบหรือเหตุการณ์สำคัญ ผู้ลงทุนหวังว่าจะได้กำไรไม่ว่าตลาดจะขึ้นแรงหรือลงแรง หลังเหตุการณ์นั้น:contentReference[oaicite:20]{index=20}
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติ SET50 Index อยู่ที่ 950 จุด ผู้ลงทุนเปิด Long Straddle โดยซื้อ Call และ Put ที่ Strike 950 (ATM) จ่ายค่า Premium ฝั่งละ 10 จุด รวมต้นทุนสุทธิ 20 จุด:contentReference[oaicite:23]{index=23}. หากหลังประกาศข่าวสำคัญ ดัชนีปรับขึ้นเป็น 980 จุด (+30) ผู้ลงทุนจะได้กำไรจาก Call = 30 จุด ส่วน Put หมดมูลค่า กำไรสุทธิจึงประมาณ 10 จุด (30 – 20 ต้นทุน). ในทางกลับกัน หากดัชนีปรับลงเป็น 920 จุด (-30) ผู้ลงทุนจะได้กำไรจาก Put = 30 จุด ส่วน Call ไม่มีมูลค่า กำไรสุทธิก็ประมาณ 10 จุดเช่นกัน. แต่ถ้าดัชนีเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยและปิดใกล้ 950 จุด กลยุทธ์นี้จะขาดทุนเท่ากับค่า Premium ที่จ่ายไป (20 จุด) เพราะทั้ง Call และ Put จะหมดค่าในวันหมดอายุ
ข้อดี: ไม่ต้องเลือกข้างทิศทางตลาดก็มีโอกาสทำกำไรได้ ขอแค่ให้ราคา “เคลื่อนไหวแรง” ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็ตาม:contentReference[oaicite:24]{index=24} อีกทั้งขาดทุนสูงสุดจำกัดที่ค่า Premium ที่จ่าย (จ่ายแล้วจบ) และกำไรมีโอกาสได้ไม่จำกัดตามการเคลื่อนไหวของราคา:contentReference[oaicite:25]{index=25} นอกจากนี้การถือ Long Options ผู้ลงทุนจ่ายค่า Premium ล่วงหน้า จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่องการถูกเรียกหลักประกันเพิ่มเติมระหว่างทาง (ไม่มี Margin Call):contentReference[oaicite:26]{index=26}
ข้อควรระวัง: สัญญา Options มีอายุจำกัด — หากราคาไม่เคลื่อนไหวทันเวลา ค่า Premium ที่ถือจะเสื่อมค่าเข้าใกล้ศูนย์เมื่อใกล้วันหมดอายุ (Time Decay สูง):contentReference[oaicite:27]{index=27} อีกทั้งผู้ลงทุนต้องคาดการณ์ให้ได้ว่าความผันผวนจะเกิดขึ้นเมื่อใด และราคาสินทรัพย์ต้องเคลื่อนออกจากจุดซื้ออย่างมากพอที่จะครอบคลุมต้นทุนค่า Premium ทั้งสองด้าน มิเช่นนั้นกลยุทธ์อาจขาดทุนได้ (หากราคาเคลื่อนน้อยเกินไป):contentReference[oaicite:28]{index=28}
กลยุทธ์ Long Strangle คือการซื้อ Call Option และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิต่างกัน กล่าวคือ ซื้อ Put ที่ราคาใช้สิทธิระดับต่ำ และซื้อ Call ที่ราคาใช้สิทธิระดับสูง (มักทั้งสองด้านเป็น Out-of-The-Money) ในสินทรัพย์อ้างอิงเดียวกันและหมดอายุพร้อมกัน:contentReference[oaicite:29]{index=29} กลยุทธ์นี้คล้าย Long Straddle ตรงที่ผู้ลงทุนคาดว่าราคาจะเหวี่ยงแรงแต่ไม่รู้ทิศทาง เพียงแต่การตั้ง Strangle จะเลือก Strike ที่ห่างจากราคาปัจจุบัน ทำให้ใช้ต้นทุนต่ำกว่า Straddle แต่ต้องการการเคลื่อนไหวของราคามากขึ้นจึงจะได้กำไร
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: ใช้ในกรณีคาดว่าราคาสินทรัพย์จะเปลี่ยนแปลงมาก (ผันผวนสูง) แต่ไม่แน่ใจในทิศทางเช่นเดียวกับ Straddle โดยอาจเลือกใช้ Strangle เมื่อมองว่าราคามีโอกาสแกว่งแรง แต่ต้องการลดต้นทุนค่า Premium รวม (เพราะเลือก Strike ไกลกว่า) จึงยอมแลกกับการต้องการการแกว่งตัวที่มากขึ้นถึงจะคุ้มทุน
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติหุ้น XYZ ราคา 50 บาท ผู้ลงทุนทำ Long Strangle โดยซื้อ Put Strike 45 ราคา 1 บาท และซื้อ Call Strike 55 ราคา 1 บาท ต้นทุนรวม 2 บาท. หากต่อมาหุ้นขึ้นไปที่ 60 บาท (+10) Call จะมีมูลค่า 5 บาท (ได้กำไร 5) ส่วน Put ไม่มีค่า กำไรสุทธิ ≈ 3 บาท (5 – 2) แต่ถ้าหุ้นลงมาที่ 40 บาท (-10) Put จะมีมูลค่า 5 บาท ส่วน Call ไม่มีค่า กำไรสุทธิก็ ≈ 3 บาทเช่นกัน. อย่างไรก็ดี หากหุ้นแกว่งไม่มากอยู่ระหว่าง 45–55 บาท ทั้ง Call และ Put จะหมดค่าและผู้ลงทุนขาดทุนค่า Premium 2 บาทเต็มจำนวน
ข้อดี: ได้กำไรหากสินทรัพย์เคลื่อนไหวแรงไม่ว่าจะขึ้นหรือลง (ลักษณะเดียวกับ Straddle) และความเสี่ยงขาดทุนจำกัดแค่ค่า Premium ที่จ่ายเท่านั้น นอกจากนี้การตั้ง Strangle ใช้เงินน้อยกว่า Straddle เพราะเลือกซื้อออปชันที่ OTM ซึ่งมีราคาถูกกว่า จึงเป็นวิธีลดต้นทุนเบื้องต้นของกลยุทธ์ได้
ข้อควรระวัง: จำเป็นที่ราคาสินทรัพย์จะต้องแกว่งตัวมากพอถึงจุดคุ้มทุนที่ไกลกว่าของ Straddle มิฉะนั้นกลยุทธ์จะขาดทุนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้หากเลือก Strike ไกล ราคาของ Option แต่ละขาจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์น้อยกว่า (Delta ต่ำ) อาจต้องรอจนใกล้หมดอายุถึงเห็นกำไรชัด และแน่นอนว่าสัญญา Options มีค่าเสื่อมเวลาที่จะลดมูลค่าลงเรื่อยๆ จนหมดอายุ
กลยุทธ์ Strap เป็นรูปแบบหนึ่งของ Long Straddle ที่ให้น้ำหนักฝั่งขาขึ้นมากกว่าฝั่งขาลง ผู้ลงทุนเปิดสถานะ Long Call 2 สัญญา และ Long Put 1 สัญญา ที่ราคาใช้สิทธิเดียวกัน (ATM) และวันหมดอายุเดียวกัน:contentReference[oaicite:30]{index=30} กลยุทธ์นี้มองว่าราคาสินทรัพย์จะผันผวนสูงไม่ไปขึ้นแรงก็ลงแรง แต่ให้น้ำหนักไปทางคาดว่าจะขึ้นแรงมากกว่า (bias ขาขึ้น):contentReference[oaicite:31]{index=31}
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: ใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะเหวี่ยงตัวแรง โดยมีแนวโน้ม “ขึ้น” เป็นไปได้มากกว่า “ลง” เช่น ช่วงก่อนเหตุการณ์ที่มีโอกาสสร้างความผันผวน แต่มองเหตุการณ์นั้นเชิงบวกกับตลาด จึงใช้ Strap เพื่อเน้นทำกำไรขาขึ้นเพิ่มเป็นพิเศษ แต่ยังคงมีประกันขาลงไว้บางส่วน
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติดัชนี SET50 = 1000 จุด ผู้ลงทุนเปิด Long Strap โดย Long Call 2 สัญญาและ Long Put 1 สัญญาที่ Strike 1000 จุด ค่า Premium Call = 5 จุดต่อสัญญา, Put = 5 จุด รวมจ่าย 15 จุด. หากต่อมาดัชนีขึ้นไป 1040 จุด (+40) ผลลัพธ์: Call 2 สัญญาได้กำไรรวม 2×40 = 80 จุด, Put หมดค่า, กำไรสุทธิ ~65 จุด (80 – 15). แต่ถ้าดัชนีลงไป 960 จุด (-40): Put 1 สัญญาได้กำไร 40 จุด, Call ทั้งสองหมดค่า, กำไรสุทธิเพียง ~25 จุด (40 – 15). จุดคุ้มทุนฝั่งขาขึ้นจะอยู่ที่ประมาณ 1000+7.5 ≈ 1007.5 จุด (ขึ้นเพียง ~0.75%) ส่วนจุดคุ้มทุนฝั่งขาลงอยู่ที่ ~985 จุด (ลง ~1.5%) แสดงว่ากลยุทธ์นี้ต้องการการขึ้นไม่มากก็ถึงจุดคุ้มทุน แต่ถ้าลงต้องลงมากกว่าจึงจะคุ้ม
ข้อดี: ถ้าตลาดผันผวนสูงไปในทางขาขึ้นจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าขาลงถึงประมาณ 2 เท่า (เนื่องจากลงเงินใน Call มากกว่า) และถึงแม้ตลาดจะผันผวนในทางลง ผู้ลงทุนก็ยังสามารถทำกำไรได้เช่นกัน (ยังมี Put รองรับอยู่):contentReference[oaicite:33]{index=33}
ข้อควรระวัง: ต้องเปิดสถานะ Options พร้อมกันถึง 3 สัญญาที่ ATM ทำให้ต้องจ่ายค่า Premium ค่อนข้างสูงและมีจุดคุ้มทุนฝั่งขาลงที่ไกล (เพราะมี Put เดียว):contentReference[oaicite:34]{index=34} นอกจากนี้หากช่วงแรกตลาดผันผวนไปทางใดทางหนึ่งแล้วกลับมายังราคาใช้สิทธิก่อนหมดอายุ (เช่น ราคาขึ้นแล้วลงกลับมาใกล้จุดเดิม) อาจทำให้กลยุทธ์ไม่ประสบความสำเร็จได้ เนื่องจากค่า Premium ที่จ่ายไปไม่สามารถเรียกคืนมาได้หมด:contentReference[oaicite:35]{index=35} (เวลาเสียไปกับความผันผวนที่เกิดขึ้นแล้ว)
กลยุทธ์ Strip เป็นอีกด้านของ Strap โดยเน้นน้ำหนักไปทางขาลงมากกว่าขาขึ้น ผู้ลงทุนเปิดสถานะ Long Call 1 สัญญา และ Long Put 2 สัญญา ที่ Strike เดียวกัน (ATM) และหมดอายุพร้อมกัน:contentReference[oaicite:36]{index=36} กลยุทธ์นี้มองว่าSET50 Index หรือราคาสินทรัพย์จะผันผวนสูงมากไม่ขึ้นแรงก็ลงแรง แต่ให้น้ำหนักไปทางฝั่งลบหรือลงแรงมากกว่า (คาดขาลงมีโอกาสมากกว่าขาขึ้น):contentReference[oaicite:37]{index=37}
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: ใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะเหวี่ยงรุนแรงและมีแนวโน้ม “ลง” เป็นไปได้มากกว่า “ขึ้น” เช่น ก่อนเหตุการณ์ลบที่อาจกระทบตลาดแต่ยังไม่แน่ใจผลลัพธ์ จึงใช้ Strip เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรหากตลาดลงแรง ในขณะที่หากตลาดกลับขึ้นก็ยังมีกำไรจาก Call เล็กน้อย
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติราคาทองคำอยู่ที่ $1000 ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองจะเหวี่ยงแรงและมีโอกาสลงมากกว่า จึงเปิด Long Strip โดย Long Call 1 สัญญาและ Long Put 2 สัญญาที่ Strike $1000 จ่ายค่า Premium Call = $10, Put = $10 ต่อสัญญา รวมจ่าย $30. หากต่อมาราคาทองขึ้นเป็น $1050 (+$50): Call ได้กำไร $50, Put ทั้งสองหมดค่า, กำไรสุทธิประมาณ $20 ($50 – $30). แต่ถ้าราคาทองลงเป็น $950 (-$50): Put 2 สัญญาได้กำไรรวม $100, Call หมดค่า, กำไรสุทธิ ~$70 ($100 – $30). จุดคุ้มทุนฝั่งขาขึ้นอยู่ที่ $1030 ($30 จาก Strike), จุดคุ้มทุนฝั่งขาลงอยู่ที่ ~$985 ($15 ต่ำกว่า Strike) ซึ่งจะเห็นว่าต้องราคาลงเพียง 1.5% ก็ถึงจุดคุ้มทุน แต่ถ้าขึ้นต้องขึ้น ~3% ถึงจะคุ้มทุน
ข้อดี: ถ้าตลาดผันผวนสูงไปในทางขาลงจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าขาขึ้นถึงประมาณ 2 เท่า (เพราะลงเงินใน Put มากกว่า) และถึงแม้ตลาดผันผวนไปทางขาขึ้นก็ยังมีกำไรได้บางส่วน (ยังมี Call อยู่หนึ่งสัญญา):contentReference[oaicite:39]{index=39}
ข้อควรระวัง: ผู้ลงทุนต้องเปิดสถานะ Options สามสัญญาที่ ATM ทำให้ค่า Premium รวมที่จ่ายค่อนข้างสูง และมีจุดคุ้มทุนฝั่งขาขึ้นที่ไกลจากราคาใช้สิทธิมากขึ้น (เพราะมี Call แค่ 1 สัญญา):contentReference[oaicite:40]{index=40} นอกจากนี้ หากช่วงแรกความผันผวนสูงแล้วราคากลับเข้ามาใกล้ราคาใช้สิทธิก่อนหมดอายุ มากกว่าพรีเมียมที่จ่ายไป กลยุทธ์นี้ก็อาจไม่สำเร็จตามคาดได้ (เสียค่า Premium ไปโดยไม่ได้กำไรกลับมา):contentReference[oaicite:41]{index=41}
:contentReference[oaicite:42]{index=42} *ภาพแสดงกราฟผลกำไร/ขาดทุนของกลยุทธ์ Short Straddle (ซ้าย) และ Short Strangle (ขวา)* กลยุทธ์ Short Straddle คือการขาย Call Option และ Put Option อย่างละ 1 สัญญา ในสินค้าอ้างอิงเดียวกัน ที่ราคาใช้สิทธิและวันหมดอายุเดียวกัน (มักเป็น ATM):contentReference[oaicite:43]{index=43} ผู้ลงทุนขาย (Short) Options ทั้งสองด้านเพื่อรับค่า Premium สุทธิล่วงหน้า โดยคาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะไม่เคลื่อนไหวรุนแรงจนเกินช่วงที่ตนกำหนดไว้ (เช่นคาดว่าตลาดจะ “ทรงตัว” หรือมีความผันผวนลดลง)
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: เหมาะกับสภาวะตลาดที่คาดว่าจะผันผวนต่ำหรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideways) ผู้ลงทุนต้องการสร้างรายได้จากค่า Premium ที่ได้รับเมื่อออปชันหมดอายุไร้มูลค่า เช่น ช่วงที่ตลาดสงบหลังผ่านเหตุการณ์สำคัญ (Volatility ลดลง):contentReference[oaicite:44]{index=44}:contentReference[oaicite:45]{index=45}
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติหุ้น ABC ราคาปัจจุบัน 100 บาท ผู้ลงทุน Short Straddle โดย Short Call และ Short Put ที่ Strike 100 บาท ได้รับ Premium Call = 4 บาท และ Put = 4 บาท รวมรับสุทธิ 8 บาท. หากหนึ่งเดือนต่อมาราคาหุ้นยังอยู่ที่ ~100 บาท ทั้ง Call/Put จะหมดอายุไร้มูลค่า ผู้ลงทุนได้กำไรเท่ากับ Premium สุทธิ 8 บาท. หากหุ้นขึ้นเป็น 120 บาท (+20): Call ที่ Short ไว้จะขาดทุน 20 บาท (ต้องขายหุ้นที่ 100 ให้คนใช้สิทธิ) แต่มีเบี้ยที่เคยได้รับ 8 บาท มาชดบางส่วน ขาดทุนสุทธิ 12 บาท. หากหุ้นลงเป็น 80 บาท (-20): Put ที่ Short ไว้จะขาดทุน 20 บาท (ต้องรับซื้อหุ้นที่ 100) หักเบี้ย 8 บาทที่ได้รับ ขาดทุนสุทธิ 12 บาท. จะเห็นว่าจุดคุ้มทุนของผู้ขายอยู่ที่ 92 และ 108 บาท (±8 บาทจาก Strike)
ข้อดี: ผู้ขายได้รับค่า Premium ทันทีตั้งแต่เปิดสถานะและจะได้กำไรสูงสุดเท่ากับ Premium นั้นหากราคาสินทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลงมากจนหมดอายุ:contentReference[oaicite:48]{index=48} กลยุทธ์นี้ไม่ต้องเดาทิศทางตลาด เหมาะเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ช่วงที่ตลาดนิ่งหรือช่วงที่ค่าเสื่อมเวลาของ Option สูง (ช่วงใกล้หมดอายุ) เพราะทุกวันที่ผ่านไปค่า Premium ที่ผู้ขายได้รับจะลดลงเรื่อยๆ (เป็นกำไรของผู้ขาย):contentReference[oaicite:49]{index=49} นอกจากนี้ผู้ขายยังสามารถเลือก Strike และเดือนหมดอายุที่ต่างกันเพื่อปรับสมดุลความเสี่ยง/ผลตอบแทนตามต้องการได้อย่างยืดหยุ่น
ข้อควรระวัง: กำไรของกลยุทธ์นี้ถูกจำกัดอยู่ที่ค่า Premium ที่ได้รับ แต่ความเสี่ยงขาดทุน “ไม่จำกัด” (เช่น หากเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นหรือลงมาก ผู้ขายจะขาดทุนมหาศาล):contentReference[oaicite:50]{index=50} ดังนั้นต้องติดตามสถานะอย่างใกล้ชิดหรือใช้เครื่องมืออื่นช่วยป้องกันความเสี่ยง และต้องวางเงินหลักประกัน (Margin) รองรับไว้เพียงพอ โดยอาจถูกเรียกเพิ่มหากสถานะขาดทุนเพิ่มขึ้น:contentReference[oaicite:51]{index=51}
กลยุทธ์ Short Strangle เป็นการขาย Call Option และ Put Option ที่มีราคาใช้สิทธิต่างกัน หรือขายออปชันทั้งสองฝั่งที่ Out-of-The-Money (หนึ่งสัญญาที่ Strike สูง อีกสัญญาที่ Strike ต่ำ) ในสินค้าอ้างอิงเดียวกันและหมดอายุพร้อมกัน:contentReference[oaicite:52]{index=52} ผู้ลงทุนจะได้รับค่า Premium สุทธิจากการขายเช่นเดียวกับ Short Straddle แต่การตั้ง Short Strangle จะเว้นระยะ Strike ทั้งสองข้างให้ห่างจากราคาปัจจุบันมากกว่า เพื่อเพิ่ม “ช่วงปลอดภัย” ที่จะได้กำไรหากราคาสินทรัพย์ยังอยู่ในกรอบนั้นเมื่อหมดอายุ
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: ใช้เมื่อคาดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวในกรอบ (Sideway) ใกล้เคียงกับมุมมอง Short Straddle แต่ต้องการลดความเสี่ยงลงเล็กน้อย โดยการเลือกขาย Options ที่ OTM ทั้งสองฝั่ง ทำให้ราคาสินทรัพย์สามารถแกว่งตัวอยู่ระหว่าง Strike ที่ขายได้โดยผู้ขายยังมีกำไร กรณีตลาดทรงตัวหรือผันผวนต่ำ
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติดัชนี SET50 = 1000 จุด ผู้ลงทุน Short Strangle โดย Short Call Strike 1050 รับ Premium 5 จุด และ Short Put Strike 950 รับ Premium 5 จุด รวมรับสุทธิ 10 จุด. หากหนึ่งเดือนผ่านไปดัชนีอยู่ระหว่าง 950–1050 จุด (เช่น 1000 จุด): ทั้ง Call และ Put หมดค่า ผู้ลงทุนได้กำไรเต็มเท่ากับ Premium 10 จุด. หากดัชนีพุ่งขึ้นเป็น 1100 จุด (+100): Short Call จะขาดทุน 50 จุด (เพราะต้องซื้อดัชนีที่ 1100 มาขายในราคา 1050 ที่สัญญาตนขายไว้) หัก Premium 10 จุดที่ได้รับ ยังขาดทุนสุทธิ ~40 จุด. ถ้าดัชนีดิ่งลงเป็น 900 จุด (-100): Short Put จะขาดทุน 50 จุด (ต้องซื้อดัชนีที่ 950 จากการถูกใช้สิทธิ แต่ดัชนีมีมูลค่าแค่ 900) หัก Premium 10 จุด ยังขาดทุนสุทธิ ~40 จุด. จะเห็นว่าผู้ขายจะเริ่มขาดทุนเมื่อดัชนีต่ำกว่า 940 หรือสูงกว่า 1060 จุด (จุดคุ้มทุนที่ 950-10 และ 1050+10)
ข้อดี: ได้รับรายได้จากค่า Premium ล่วงหน้าเหมือน Short Straddle แต่มีช่วงราคาที่สินทรัพย์สามารถแกว่งได้โดยผู้ขายยังไม่ขาดทุน (ระหว่าง Strike ที่ขายทั้งสองฝั่ง) ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมลดลงกว่าการขาย Straddle ตรงๆ ผู้ขายสามารถเลือกความห่างของ Strike เพื่อปรับสมดุลระหว่างจำนวน Premium ที่ได้รับกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ตามใจตน
ข้อควรระวัง: แม้ความเสี่ยงจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ Short Straddle แต่กลยุทธ์นี้ยังมีความเสี่ยงขาดทุนไม่จำกัดหากเกิดการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่เกินคาด ผู้ขายต้องเตรียมเงินหลักประกันไว้รองรับการขาดทุนและอาจต้องปรับสถานะลดความเสี่ยงเมื่อราคาขยับเข้าใกล้หรือทะลุช่วงที่คาดไว้ (เช่น ซื้อออปชันกลับบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง) ทั้งนี้ข้อควรระวังโดยรวมคล้ายกับ Short Straddle คือกำไรจำกัดแต่ขาดทุนไม่จำกัด ผู้ขายต้องมีการบริหารความเสี่ยงและเงินทุนที่เหมาะสมอยู่เสมอ:contentReference[oaicite:55]{index=55}
กลยุทธ์ Iron Condor เป็นกลยุทธ์การขายออปชันแบบมีการป้องกันความเสี่ยง (Defined-Risk Short Options) ซึ่งประกอบด้วยสถานะ Short Options สี่ขา ได้แก่ Short Put และ Short Call ที่อยู่ OTM คู่กับ Long Put และ Long Call ที่อยู่ OTM ไกลออกไปอีกเพื่อจำกัดความเสี่ยง (รวม 4 สัญญา 4 Strike):contentReference[oaicite:56]{index=56} พูดอีกอย่างคือ Iron Condor = การรวมกลยุทธ์ Vertical Spread แบบขา Put และขา Call เข้าด้วยกัน ผู้ขายจะได้รับ Premium สะสมเพิ่มขึ้นจากการขาย 2 สเปรด ขณะที่ความเสี่ยงขาดทุนยังคงจำกัดอยู่ที่ระดับสเปรดกว้างสุดข้างเดียว:contentReference[oaicite:57]{index=57}
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: ใช้ในสภาวะที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะเคลื่อนไหวในกรอบที่กำหนด และความผันผวนค่อนข้างต่ำ ผู้ขายต้องการสร้างรายได้จากค่า Premium ในขณะที่จำกัดความเสี่ยงขาดทุนไว้แน่นอนทุกกรณี (เพราะมี Long Options ป้องกันไว้ทั้งสองฝั่ง):contentReference[oaicite:58]{index=58}:contentReference[oaicite:59]{index=59} เหมาะกับตลาดไซด์เวย์ที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติหุ้น DEF = 100 บาท ผู้ลงทุนเปิด Iron Condor โดย Short Put 95 รับค่า Premium 2 บาท, Long Put 90 จ่าย 1 บาท (Bull Put Spread รับสุทธิ 1 บาท) และ Short Call 105 รับ 2 บาท, Long Call 110 จ่าย 1 บาท (Bear Call Spread รับสุทธิ 1 บาท) รวมรับ Premium สุทธิ 2 บาท. หากหุ้นปิดระหว่าง 95–105 บาทตอนหมดอายุ: ทั้ง 4 สัญญาหมดค่า ผู้ลงทุนได้กำไรเต็ม 2 บาท. หากหุ้นลงเหลือ 85 บาท: ฝั่ง Put Spread จะขาดทุนส่วนต่างเต็ม = (95-90) 5 บาท หัก Premium 1 บาทที่เคยรับ ขาดทุนสุทธิ 4 บาท (Call Spread ไม่เสียเพิ่มเพราะ OTM หมดค่า) หากหุ้นขึ้นเป็น 120 บาท: ฝั่ง Call Spread ขาดทุนเต็ม = (110-105) 5 บาท หัก Premium 1 บาทที่รับ ขาดทุนสุทธิ 4 บาท (Put Spread ไม่เสียเพิ่ม) จะเห็นว่ากำไรสูงสุดคือ 2 บาทเมื่อหุ้นไม่แกว่งนอกช่วง 95–105, และจุดคุ้มทุนอยู่ที่ ~93 บาท (95-2) และ ~107 บาท (105+2)
ข้อดี: สามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอจากสภาวะตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบหรือความผันผวนต่ำ โดยมีความเสี่ยงขาดทุนที่จำกัดแน่นอนในทุกกรณี:contentReference[oaicite:61]{index=61} นอกจากนี้การรวม 2 สเปรดเข้าด้วยกันทำให้ผู้ขายได้รับค่า Premium มากขึ้นเมื่อเทียบกับการทำ Short Spread เพียงขาเดียว ขณะที่ความเสี่ยงโดยรวมยังจำกัดเท่ากับสเปรดกว้างสุดที่เลือก (ไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า):contentReference[oaicite:62]{index=62}
ข้อควรระวัง: ถึงแม้ความเสี่ยงถูกจำกัดด้วยสถานะ Long Options ที่ป้องกันไว้ แต่หากราคาสินทรัพย์ทะลุกรอบที่ขายไว้ไปมาก ผู้ขายก็จะขาดทุนตามส่วนต่างดังกล่าว (แม้จะไม่เกิน Max Loss ที่คำนวณไว้ก็ตาม) และการตั้ง 4 สถานะ Short/Long ทำให้มีค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียมหลายรายการ ผู้ขายควรมั่นใจว่าค่า Premium ที่ได้รับมาคุ้มกับต้นทุนธุรกรรมและความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหรือไม่:contentReference[oaicite:63]{index=63}
Iron Butterfly (Iron Fly) เป็นกลยุทธ์ขายความผันผวนต่ำที่มีโครงสร้างคล้าย Iron Condor แต่ Short Options ฝั่ง Call และ Put จะอยู่ที่ราคาใช้สิทธิเดียวกัน (ATM) ทำให้มี 3 ระดับราคาใช้สิทธิทั้งหมด (ATM หนึ่งระดับสำหรับออปชันที่ขาย และ OTM ระดับบน/ล่างสำหรับออปชันที่ซื้อป้องกันความเสี่ยง):contentReference[oaicite:64]{index=64}:contentReference[oaicite:65]{index=65} กล่าวคือ ผู้ลงทุนขาย Call และ Put ที่ ATM อย่างละ 1 สัญญา และซื้อ Call ที่ OTM (เหนือราคา) และ Put ที่ OTM (ใต้ราคา) อย่างละ 1 สัญญาเพื่อจำกัดความเสี่ยง รวมเป็น 4 สัญญา 3 ราคาใช้สิทธิ:contentReference[oaicite:66]{index=66}
จุดประสงค์/มุมมองตลาด: ใช้สำหรับมุมมองที่คาดว่าตลาดจะมีความผันผวนต่ำอยู่ในกรอบแคบมาก ผู้ขายต้องการเก็บค่า Premium ให้ได้มากที่สุดจากการที่ราคาสินทรัพย์ไม่ค่อยเคลื่อนไหว และยอมจำกัดกำไรขาดทุนไว้แบบ Iron Condor (แต่ช่วงกรอบกำไรจะแคบกว่า Iron Condor เพราะขาย ATM):contentReference[oaicite:67]{index=67} กล่าวอีกอย่างคือผู้ขาย “ขายความผันผวน” หวังให้ราคาสินทรัพย์ไม่เคลื่อนไหวมากนักจนหมดอายุสัญญา
ตารางสรุป:
ตัวอย่าง: สมมติดัชนี SET50 = 1000 จุด ผู้ลงทุนเปิด Iron Butterfly โดย Short Call 1000 รับ 8 จุด, Short Put 1000 รับ 8 จุด (รวมรับ 16 จุด) และ Long Call 1050 จ่าย 3 จุด, Long Put 950 จ่าย 3 จุด (รวมจ่าย 6 จุด) ได้รับ Premium สุทธิ 10 จุด. หากดัชนีปิดที่ ~1000 จุดตอนหมดอายุ: Short Call/Put ทั้งคู่หมดค่า ผู้ขายได้กำไรเต็ม 10 จุด. หากดัชนีขึ้นเป็น 1050 หรือสูงกว่า: Call ฝั่ง Short-Long เป็น ITM Spread กว้าง 50 จุด ขาดทุน 50 หัก Premium 5 (ครึ่งหนึ่งของ 10 จุดเพราะอีกครึ่งใช้ไปกับฝั่ง Put) ขาดทุน ~45 จุด. ในทางกลับกัน หากดัชนีลงเป็น 950 หรือต่ำกว่า: Put Spread ฝั่ง Short-Long ขาดทุน 50 จุด หัก Premium 5 (อีกครึ่งหนึ่งของ 10) ขาดทุน ~45 จุด. จุดคุ้มทุนบนอยู่ที่ ~1010 จุด และล่าง ~990 จุด (±10 จุดจาก 1000)
ข้อดี: ผู้ขายสามารถรับรายได้ประจำจากค่า Premium ที่ค่อนข้างสูง (เพราะขาย ATM Straddle) ในภาวะที่ตลาดผันผวนต่ำและมีความเสี่ยงถูกจำกัดไว้แน่นอนด้วยสถานะ Long Options ที่ทำไว้:contentReference[oaicite:69]{index=69} หากราคาสินทรัพย์เคลื่อนไหวในกรอบแคบตามคาด กลยุทธ์นี้จะสร้างผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่สูงกว่าการทำ Iron Condor เนื่องจากได้รับ Premium มากกว่า
ข้อควรระวัง: กลยุทธ์นี้จะมีช่วงกำไรที่แคบกว่า Iron Condor จึงอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของความผันผวนโดยนัยมากกว่า (หาก Implied Volatility เพิ่มสูงขึ้นมาก ตลาดคาดผันผวนมากขึ้น ค่า Premium ที่ขายไว้จะปรับตัวขึ้น ผู้ขายจะเสียเปรียบ):contentReference[oaicite:70]{index=70} นอกจากนี้ผู้ลงทุนต้องพิจารณาค่าธรรมเนียมในการเปิด 4 สัญญาด้วยว่าเมื่อเทียบกับ Premium ที่ได้รับแล้วคุ้มค่าหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ Iron Butterfly เนื่องจากต้องเปิดสถานะถึง 4 สัญญา (มากกว่าเช่น Calendar Spread ที่ใช้ 2 สัญญา):contentReference[oaicite:71]{index=71}